ความเป็นมา การเล่นลิเกป่าในจังหวัดกระบี่ สืบทอดกันมาไม่น้อยกว่า ๘๐ - ๑๐๐ ปีมาแล้วสันนิษฐานว่าน่าจะพัฒนาจากการเล่นของอาหรับเหมือนลิเกอื่นๆ คือ สืบเนื่องจากการสรรเสริญพระเจ้า บ้างก็ว่าดัดแปลงคำสวดมาประสมกับการสวดคฤหัสถ์ประสมดนตรีรำมะนา เรียกว่า ลิเกปันตน มีคำร้องภาษามาลายูปนภาษาไทยท้องถิ่น ต่อมามีการแต่งจำอวดออกมาเล่นเป็นชุดๆเรียกว่า "ลิเกสิบสองภาษา" แล้วมาแยกเล่นออกเป็น ๒ สาขา คือ ๑.ละกูเยา เป็นการร้องกลอนแก้กัน เป็นต้นทางของลำตัดและลิเกฮูลู ๒.อันดาเลาะ แสดงเบ็ดเตล็ดชุดภาษาต่างๆ เป็นต้นทางให้เกิดลิเก เช่น ลิเกทรงเครื่อง, ลิเกป่า ฯลฯ บทเพลงที่ใช้ก็มี ๒ พวก คือ เพลงไอ้พิมเพเล ได้แก่ เพลงที่ลิเกทรงเครื่องใช้อยู่ทั่วไปและเพลงบุรันยาวา คือเพลงที่พวกลิเกป่าใช้ ลิเกป่าจึงน่าจะพัฒนามาจากลิเกสิบสองภาษาดังกล่าวแล้ว แต่ชุดที่ลิเกป่านิยมนำออกแสดงคือชุดแขกแดง ซึ่งถือเป็นชุดครู หลังจากนั้นจะแสดงชุดอื่นๆก็ได้ สรุปได้ว่าลิเกทุกชนิดมีแขกเป็นครูแน่นอน พวกลิเกป่าในจังหวัดกระบี่ในพิธีไหว้ครูจะต้องออกชื่อ" ผีชิน " เสมอ (ชิน- ยิน -ยินี เป็น ภาษาอาหรับ แปลว่า ผี , วิญญาณ, บรรพบุรุษ แขกแดง - จึงน่าจะหมายถึงแขกอาหรับ) อุปกรณ์การเล่นและวิธีการเล่น อุปกรณ์ เครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดงลิเกป่า ประกอบด้วยรำมะนา ๒ ใบ กลอง โหม่ง ฉิ่ง ปี่ และอาจมีการประสมประสานดนตรีชนิดอื่นๆบ้าง การแต่งกาย ตัวเอกของเรื่องจะแต่งตัวแบบแขกสมัยก่อนนุ่งผ้าโจงกระเบน ปัจจุบันสวมกางเกงมีผ้าโสร่งคาดทับ สวมเสื้อสวมหมวกแขกหรือไม่ก็โพกศีรษะให้เหมือนแขก แต่งหน้าใส่หนวดเครา เสริมจมูก ตัวนางเอก (ยาหยี/ ยายี) แต่งกายแบบพื้นบ้านทางฝั่งทะเลตะวันตก คือนุ่งผ้าถุง สวมเสื้อแขนกระบอก มีผ้าคล้องไหล่ (แบบชุดย่าหยา) ตัวอื่นๆ แต่งตามความนิยม ถ้าแสดงชุดอื่น ๆ ที่มิใช่ชุดแขกแดงก็แต่งตัวตามท้องเรื่อง วิธีการเล่น ๑.ดนตรีโหมโรงเสร็จแล้วไหว้ครู ๒.ว่าเพลงวง ๓.บอกชุด (ทั้ง ๑๒ ชุด ของลิเกสิบสองภาษาว่ามีอะไรบ้าง) ๔.ออกแขกแดง ๕.แสดงเรื่องของชุดแขกแดงไปจนจบ ๖.พิธีส่งครู เป็นการจบการแสดง หลังจากจบชุดแขกแดงถ้าต้องการแสดงเรื่องอื่นๆต่อไปก็ได้ตามความต้องการเสร็จแล้วจึงส่งครูก่อนเลิกการแสดง ภาษาที่ใช้ ตัวแขกแดงจะพูดภาษาไทยท้องถิ่นดัดเสียงให้รัวเหมือนแขก ตัวเสนา จะพูดภาษาท้องถิ่น เจ้าเมืองจะพูดภาษากลาง ยาหยีพูดสำเนียงท้องถิ่น เนื้อเรื่อง ชุดแขกแดงมีว่า " มีแขกมาจากเมืองกะตา (กัลกัตตา ?) บ้างก็ว่ามาจากเมืองโอปุระ สุไหงปุระมาค้าขายทางฝั่งทะเลตะวันตกของไทย มาได้ภรรยา (ยายี / ยาหยี) เป็นสาวไทย อยู่มาวันหนึ่งแขกมีความคิดถึงบ้าน ก็ขึ้นไปร่ำลาเจ้าเมืองเพื่อเดินทางไปเยี่ยมบ้านเจ้าเมืองให้เสนาไปด้วยคนหนึ่ง แขกกับเสนาร่ำลาเจ้าเมืองไปหายาหยี ครั้งแรกยาหยีไม่ยอมเดินทางไปด้วยเพราะเป็นห่วงพ่อแม่ แขกทั้งปลอบทั้งขู่จนกระทั่งยาหยียอมไป ทั้งหมดลงเรือไปในทะเล ชมนก ชมปลา ไปเรื่อยจนกระทั่งถึงเมืองลักกะตา " โอกาสที่เล่น ลิเกป่าแสดงได้เกือบทุกงาน แล้วแต่เจ้าภาพจะรับไปแสดง โรงลิเกป่าเหมือนกับโรงมโนห์รา มีหลังคายกพื้นให้สูงขึ้นเพื่อความสะดวกของผู้ชม สมัยก่อนนั้นแสดงบนพื้นดินซึ่งไม่สะดวกมีฉากประกอบเหมือนมโนห์ราหรือลิเกอื่นๆทั่วไป การที่เรียกลิเกชนิดนี้ว่าลิเกป่า เห็นทีจะสืบเนื่องมาจากการเล่นที่ไม่ยึดถือแบบฉบับที่แน่นอน ขาดความสมบูรณ์ในทุกด้าน ปัจจุบันลิเกป่าเสื่อมความนิยมลงไปมาก เพราะการแสดงและสิ่งบันเทิงอื่นๆมีอิทธิพลมากกว่า ผู้คนจึงรู้จักลิเกป่าน้อยลง ผู้ที่เล่นลิเกป่าได้จึงมักจะเป็นผู้สูงอายุ พร้อมที่จะล้มหายตายจากไปกับกาลเวลา ดังนั้นในระยะอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ถ้าหากไม่มีการอนุรักษ์การเล่นชนิดนี้ไว้ ก็คงจะหาดูลิเกป่าไม่ได้อีกเลย คุณค่า ลิเกป่านิยมเล่นกันแถบชนบท บ้านนาบ้านป่า เป็นการหาความสนุกสนานในยามว่างงาน เป็นลิเกสมัครเล่นไม่ได้ยึดถือเป็นอาชีพหลัก นิยมเล่นกันแถบชนบท บ้านนาบ้านป่า เป็นการหาความสนุกสนานในยามว่างงาน เป็นลิเกสมัครเล่นไม่ได้ยึดถือเป็นอาชีพหลัก แต่ถ้าใครรับไปแสดงในงานต่างๆ ก็จะรวมสมัครพรรคพวกไปเล่นได้ อัตราค่าแสดงก็ไม่แน่นอนแล้วแต่ข้อตกลงกับเจ้าภาพ เช่น ระยะเวลาที่แสดง ระยะทางและค่าพาหนะในการเดินทาง เป็นต้น | ||||||||||
การละเล่นพื้นบ้านไทย
วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554
การละเล่นพื้นบ้านของภาคใต้อาทิ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)